วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

                                                                   โครงงาน
                                                                 
                                               เรื่อง การอนุรักษ์ป่าไม้
                                             
                                                         จัดทำโดย 
                          1.นาย เอก ทาบุญเมือง              ม.6/1 เลขที่ 25   
                    2.นาย เกษม โพธิ์ศรี                   ม.6/1 เลขที่20
                   3.นาย ฤทธิเกียรติ โตหนองหว้า ม.6/1 เลขที่ 21 
                                                    เสนอโดย 
                                      อ.นาย จักรภัทร์ กุดทองดี  
                               เขตพื้นที่การศึกษาร้อยเอ็ดเขต 27 
                                 โรงเรียนสุวรรณภูมิพิทยไพศาล                                      
                                 
การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้
การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ประการแรกต้องเริ่มจากตัวเราในการอนุรักษ์ ป่าไม้เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่อำนวยความสะดวกทั้งทางตรงและทางอ้อมให้แก่มนุษย์ทั้งหลาย ควบคุมสภาพดินฟ้าอากาศให้อยู่ในสภาพปกติ รักษาต้นน้ำลำธารพรรณพฤกษชาติและสัตว์ป่าอีกทั้งยังเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจป่าไม้เป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่มนุษย์ได้บริโภคใช้สอย ประกอบอาชีพด้านการทำป่าไม้ เก็บของป่าด้านอุสาหกรรม การผลิตไม้แปรรูปและผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่ใช้วัตถุดิบจากไม้และของป่าแต่สภาพปัจจุบันประชากรไทยมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจึงเป็นแรงพลักดันทำให้เกิดการบุกรุกทำลายป่าไม้เพื่อบุกเบิกพื้นที่ทำกิน ลักลอบตัดไม้ป้อนโรงงานอุตสาหกรรมและเผาถ่านอีกทั้งยังมีการก่อสร้างถนนสร้างเขื่อนทำให้มีการตัดไม้โดยไม่คำนึงถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ป่าไม้จึงมีเนื้อที่ลดลงตามลำดับ และบางแห่งอยู่ในสภาพเสื่อมโทรม
วิธีการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้
การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้มีหลายวิธี ดังต่อไปนี้ คือ
1. จำแนกประเภทของประโยชน์จากเนื้อที่ป่าไม้ให้ชัดว่า เนื้อที่ป่าใดควรจะใช้ประโยชน์ เพื่อจัดเป็นป่าประเภทใด เป็นการป้องกันภัย หรือป่าสาธารณะประโยชน์ เช่น อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ป่าต้นน้ำลำธาร เป็นป่าผลิตผลทางไม้ หรือเพื่อประโยชน์ทางอ้อมอื่นๆ ก็ให้รีบดำเนินการ เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์นั้นๆ
2. วางมาตรการอย่าง เข้มงวด ต่อการรักษาป่าถาวร เจ้าหน้าที่ป่าต้องหมั่นออกตรวจตราปราบปราม เพื่อป้องกันการบุกรุกแผ้วถางป่า และการทำไม้เถื่อน
3. เร่งประกาศพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งอุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าในพื้นที่ดำเนินการสำรวจเรียบร้อยแล้ว ไม่ควรปล่อยให้เนิ่นนานออกไป จะทำให้ยากแก่การควบคุม เพราะไม่มีเจ้าหน้าที่ดูแล
4. ดำเนินการแก้ไขพระราชบัญญัติที่ล้าสมัย บทลงโทษที่เบาเกินไป ควรจะเพิ่มให้หนัก ให้เหมาะสมกับภาวะของบ้านเมือง
5. เกี่ยวกับกรณีชาวเขาที่อาศัยอยู่ตามภูเขาสูง ซึ่งเป็นต้นน้ำลำธาร ควรดำเนินการอพยพ ลงมาสู่ที่ราบ เพื่อป้องกันการทำลายป่าต้นน้ำลำธาร และป้องกันการแร่กระจายของเชื้อโรค ควรกำหนดบริเวณให้ชาวเขาอาศัยเป็นแหล่งทำมาหากิน ควบคุมไม่ให้มีการทำไร่เลื่อนลอย
6. รีบเร่งปลูกสร้างสวนป่า ในพื้นที่ที่ถูกทำลาย หรือ เป็นป่าเสื่อมโทรม เพื่อให้ได้ผลผลิตไว้ใช้ในอนาคต ช่วยป้องกันการพังทลาย และการสูญเสียหน้าดิน

7. ควรทำนุบำรุงป่าธรรมชาติ ที่ยังมีสภาพดี ให้เป็นป่าไม้ที่ดี มีค่ายิ่งขึ้นโดยการปลูกต้นไม้ที่มีค่าแซมระหว่างในที่ว่าง การรักษาป่าธรรมชาติ ช่วยป้องกันธรรมชาติไม่ให้สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปมากและไม่ทำให้สูญเสียระบบนิเวศอีกด้วย การป้องกันรักษาป่าธรรมชาติ จึงดีกว่าการปลูกป่าขึ้นใหม่หลังจากตัดไม้หมดแล้ว
8. ชะลอการเปิดป่าให้ช้าลงไป โดยการหาวิธีการเพิ่มผลผลิตให้สูงขึ้นให้เพียงพอกับความต้องการของพลเมือง โดยการนำเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ เช่นการใส่ปุ๋ยเพื่อเพิ่มความสมบูรณ์ให้แก่ดิน
9. ส่งเสริม และเผยแพร่การวางแผนครอบครัวแก่ราษฎร เพื่อลดอัตราการเพิ่มของพลเมือง ซึ่งช่วยลดปัญหาการไม่มีที่ทำกิน จะได้ไม่บุกรุกป่า
10. ปฏิรูปที่ดินอย่างมีประสิทธิ์ภาพ โดยคำนึงถึงฐานะ อาชีพ กิจการ ขนาดของครอบครัวราษฎร ในการครอบครองที่ดิน

การอนุรักษ์สัตว์ป่า
สัตว์ป่า เป็น ทรัพยากร ธรรมชาติ ที่สามารถ ทำให้ เพิ่มจำนวน มากขึ้นได้ แต่ถ้าหาก สัตว์ป่า ชนิดใด สูญพันธุ์ ได้แล้ว จะไม่ สามารถ สร้างพันธุ์ ของสัตว์ป่า ชนิดนั้น ขึ้นมา ได้อีก
การอนุรักษ์ สัตว์ป่า จึงควร มีหลักดังนี้
1. การใช้ กฎหมาย ควบคุม เป็นการ อนุรักษ์ สัตว์ป่า ทางตรง มีการ ป้องกัน และปราบปราม ผู้กระทำ ผิดพระราช บัญญัติ สงวนและ คุ้มครอง สัตว์ป่า อยู่เสมอ การจัด ตั้งเขต อุทยาน แห่งชาติ เขตรักษา พันธุ์ป่า จึงควรมี หลักดังนี้
2. การสงวน แหล่งที่อยู่ อาศัย ของสัตว์ป่า หมายถึง การป้องกัน รักษา ป่าไม้ ที่จัด เป็นเขต รักษา พันธ์สัตว์ป่า เขตป่า ในอุทยาน แห่งชาติ เขตวน อุทยาน ต้องมีการป้องกัน บำรุง รักษา และการ ปลูกพันธุ์ ไม้ขึ้น มาใหม่ การสงวน ทุ่งหญ้า การทำถ้ำ รู โพรง รักษาโป่ง หรือที่ดิน เค็ม ให้อยู่ใน สภาพ ถาวร เช่น การนำ เกลือ ไปไว้ ในเขตดินโป่ง บนเขาใหญ่ ให้ช้าง และสัตว์ ทั้งหลาย ได้มากิน เป็นต้น
3. การเพาะ พันธุ์เพิ่ม เช่น ตามสวนสัตว์ ต่าง ๆ เขตรักษา พันธุ์สัตว์ หลายแห่ง เลี้ยงสัตว์ บางชนิด ไว้ใน กรงเพื่อ เพาะพันธุ์เพิ่ม เมื่อมีมาก แออัด จึงนำ สัตว์บางชนิด ไปปล่อย ไว้ใน ป่าเปิด ของอุทยาน แห่งชาติ เช่น สัตว์ที่ มีมาก จากสวนสัตว์ ดุสิต เจ้าหน้าที่ ได้นำ ไปปล่อย ไว้ที่ อุทยาน แห่งชาติ เขาเขียว เขาชมพู่ เป็นต้น
4. การค้นคว้า วิจัย ทางวิชาการ ถือได้ ว่าเป็น พื้นฐาน ของการ จัดการ สัตว์ป่า ให้มี จำนวน เพิ่มขึ้นในระดับที่ พอเหมาะ กับอาหาร และที่หลบภัย ในท้องที่นั้น ๆ
5. การใช้ ประโยชน์ จากสัตว์ ตรงตาม หลักการ อนุรักษ์ ทรัพยากรโดยไม่เก็บ ทรัพยากร ไว้เฉย ๆ เท่านั้น ยังต้อง รู้จัก นำทรัพยากร นั้น ๆ มาใช้ ให้เป็น ประโยชน์ มากที่สุด เช่น จัดสถานที่ ชมสัตว์ป่า จัดสวนสัตว์ ให้เป็น ที่พักผ่อน หย่อนใจ แก่มนุษย์ ให้ความรู้ ตามสมควร ถ้ามี จำนวน สัตว์บาง ชนิดมาก เกินไป ก็ควร เปิดให้มี การล่าสัตว์ นั้น ๆ ตาม หลักของ สมดุล ธรรมชาติ...

การอนุรักษ์สัตว์ป่าในประเทศไทย
พ.ศ. 2443 - ประเทศไทยมีกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่าเพียงฉบับเดียว คือ พรราชบัญญัติการรักษาช้างป่า
ร.ศ. 119 แต่กฎหมายฉบับนี้มีเนื้อหาเพื่อรักษาช้างป่าอย่างเดียว
- ในสมัยนั้นการล่าสัตว์ของชาวชนบทถือเป็นเรื่องปกติ
- คนเมือง การล่าสัตว์เพื่อเอาเขา หรือหนัง ถือเป็นเกมกีฬาชนิดหนึ่ง
พ.ศ. 2503 – ออกพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2503 เนื่องจาก
- หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อุปกรณ์ต่างๆ ทันสมัยขึ้น เข้าไปในเขตทุรกันดารได้ง่าย การล่าจึงมีมากขึ้น
- การขยายพื้นที่การเกษตร บุกรุกแผ้วถางป่า
- สัตว์ป่าลดจำนวนลงรวดเร็ว บางชนิดสูญพันธุ์
พ.ศ. 2535- ปรับปรุงกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า เนื่องจาก
- พ.ร.บ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2503 บังคับใช้เป็นระยะเวลานานกว่า 30 ปี ส่งผลให้มาตรการที่มีอยู่ ไม่สามารถทำให้การสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
- ไทยเข้าร่วมกับอนุสัญญา CITES
การสงวนและรักษาแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า
คือ การรักษาป่าไม้ประเภทต่างๆ ซึ่งมีความเหมาะสมต่อการดำรงชีวิต
ของสัตว์ป่าแต่ละชนิด ให้คงอยู่ตลอดไป
โดยมีรูปแบบการจัดการพื้นที่เป็น2ลักษณะ คือ
1. เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า


จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2503 และ พ.ร.บ. สงวน
และคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 เพื่อกำหนดพื้นที่ให้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า
โดยปลอดภัย เพื่อว่าสัตว์ป่าในพื้นที่ดังกล่าวจะได้มีโอกาสสืบพันธุ์และ
ขยายพันธุ์ตามธรรมชาติได้มากขึ้น ทำให้สัตว์ป่าบางส่วนได้มีโอกาสขยาย
จำนวนออกไปในท้องถิ่นอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียงกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า
 
การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้          ปัจจุบันป่าไม้ถูกทำลายไปจำนวนมาก การทำลายป่าไม้นอกจากจะทำให้ปริมาณไม้ที่จะใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจลดลงโดยตรงแล้ว ยังเป็นผลที่ทำให้เกิดความสูญเสียต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรอย่างมากมายอีกด้วย เป็นที่ทราบกันดีว่าป่าไม้ช่วยทำให้อากาศชุมชื้นเพราะป่าไม้จะช่วยเก็บน้ำไว้ได้ ทำให้เกิดต้นน้ำลำธารและกระแสน้ำไหลไปตามปกติ ช่วยป้องกันการพังทลายของหน้าดิน ช่วยทำให้ดินอุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้ป่าไม้ยังช่วยทำให้เกิดพืชพันธุ์ไม้อื่นและสัตว์ป่า
          เนื่องจากต้นไม้จะนำคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศไปใช้ในปีหนึ่ง ๆ นับล้าน ๆ ตัน เมื่อป่าไม้ถูกตัดทำลายลงในอัตราที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เชื่อว่า พ.ศ. 2543 ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศมีปริมาณขึ้นอย่างน้อย 25 เปอร์เซ็นต์ มีผลให้อุณหภูมิของอากาศเพิ่มขึ้น ทำให้อากาศร้อนและแห้งแล้ง
          ดังนั้นการฟื้นฟูสภาพป่าไม้จึงต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน ด้วยความร่วมมือทั้งภาครัฐเอกชน และประชาชน โดยรัฐบาลต้องมีแนวทางในการกำหนดแนวนโยบายด้านการจัดการป่าไม้ ซึ่งเกือบทุกประเทศทั้งในเอเชีย ยุโรปและสหรัฐอเมริกามีรากฐานอยู่บนความคิดที่สำคัญ 3 ข้อ คือ
          1. Sustain yield concept ใจความสำคัญของมโนทัศน์นี้อยู่ที่ว่าอัตราการตัดไม้และอัตราการเจริญเติบโตของไม้ต้องสมดุลกันเพื่อให้มีผลผลิตของไม้ใช้ไปได้โดยไม่มีที่สิ้นสุด
          2. Multiple use concept วัตถุประสงค์การจัดป่าไม้ควรอยู่ในลักษณะอเนกประสงค์ ป่าไม้ไม่ใช่แหล่งไม้เท่านั้น แต่เป็นแหล่งสัตว์ป่า แหล่งนันทนาการ แหล่งน้ำทั้งยังสามารถรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดินและอัตราเพิ่มธาตุอาหารในน้ำที่เรียกว่า Eutrophication ไม่ให้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว สิ่งเหล่านี้ต้องเป็นรากฐานสำคัญของการจัดการป่าไม้ด้วย
          3. Long run policy นโยบายการจัดการป่าไม้ระยะยาวเป็นเรื่องสำคัญ เพราะการจัดการป่าเพื่อประโยชน์ในระยะสั้นก็ไม่ต่างจากธุรกิจหรือกิจการอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่หวังผลกำไรมากในระยะสั้นโดยไม่คำนึงถึงผลเสียที่จะติดตามมาในระยะยาว ป่าไม้มีอายุยืนยาวเป็นพันปี การจัดการป่าในรูปของสวนป่าโดยปลูกพืชโตเร็วเป็นแถวเป็นระยะ แต่ก็ขาดลักษณะนานาชนิดและความซับซ้อนของป่าเพราะเลือกปลูกพืชเพียงไม่กี่ชนิด การจัดการป่า โดยไม่คำนึงถึงลักษณะป่าเดิมเป็นความเข้าใจผิดอย่างหนึ่ง ดังนั้น ความคิดเกี่ยวกับการจัดการป่าที่ว่า The greatest good for the greatest number in the long run จึงควรเป็นนโยบายสำคัญของการจัดการป่าไม้
         
          สำหรับประเทศไทยรัฐบาลได้กำหนดแนวนโยบายด้านการจัดการป่าไม้ดังนี้
                    1. การกำหนดเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินป่าไม้
                    2. การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้เกี่ยวกับงานป้องกันรักษาป่า การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสันทนาการ
                    3. การจัดการที่ดินทำกินให้แก่ราษฎรผู้ยากไร้ในท้องถิ่น
                    4. การพัฒนาป่าไม้ เช่น การทำไม้ การเก็บหาของป่า การปลูกป่า การบำรุงป่าไม้ การค้นคว้าวิจัย และอุตสาหกรรม การบริหารทั่วไป 
 
การอนุรักษ์ป่าไม้
     
ป่าไม้ถูกทำลายไปจำนวนมาก จึงทำให้เกิดผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศไปทั่วโลกรวมทั้งความสมดุลในแง่อื่นด้วย ดังนั้น การฟื้นฟูสภาพป่าไม้จึงต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน ทั้งภาครัฐภาคเอกชนและประชาชน      ซึ่งมีแนวทางในการกำหนดแนวนโยบายด้านการจัดการป่าไม้ ดังนี้
          1. นโยบายด้านการกำหนดเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินป่าไม้
          2. นโยบายด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้เกี่ยวกับงานป้องกันรักษาป่าการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสันทนาการ
          3. นโยบายด้านการจัดการที่ดินทำกินให้แก่ราษฎรผู้ยากไร้ในท้องถิ่น
          4. นโยบายด้านการพัฒนาป่าไม้ เช่น การทำไม้และการเก็บหาของป่า การปลูก และการบำรุงป่าไม้ การค้นคว้าวิจัย และด้านการอุตสาหกรรม
          5. นโยบายการบริหารทั่วไปจากนโยบายดังกล่าวข้างต้นเป็นแนวทางในการพัฒนาและการจัดการทรัพยากรป่าไม้ของชาติให้ได้รับผลประโยชน์ ทั้งทางด้านการอนุรักษ์และด้านเศรษฐกิจอย่างผสมผสานกัน ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความสมดุลของธรรมชาติและมีทรัพยากรป่าไม้ไว้อย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต

การจัดการป่าเศรษฐกิจ
     มีกิจกรรมหลายอย่างที่จะดำเนินการในพื้นที่ป่าเศรษฐกิจ ได้แก่
          1. การพัฒนาป่าธรรมชาติในพื้นที่ ๆ ยังมีป่าธรรมชาติปกคลุมสามารถวางโครงการทำป่าไม้ต่าง ๆ และป่าไม้ชุมชนเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรมและการใช้สอยในครัวเรือนของราษฎรได้
          2. การพัฒนาทรัพยากรป่าไม้ในพื้นที่ ๆ ว่างเปล่าสามารถพัฒนาโดยให้รัฐและเอกชนทำการปลูกป่าในพื้นที่ ๆ ว่างเปล่า เพื่อผลิตไม้ในภาคอุตสาหกรรมและใช้สอยในครัวเรือน
          3. การพัฒนาตามหลักศาสตร์ชุมชนใช้พื้นที่ป่าเศรษฐกิจในโครงการพระราชดำริโครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคงโครงการหมู่บ้านป่าไม้และโครงการ สกท.
          4. การพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ ใช้พื้นที่เขตป่าเศรษฐกิจดำเนินงานในกิจกรรมเหมืองแร่ระเบิดหินย่อย และขอใช้ประโยชน์อื่น ๆ 
                                           

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น